"ประวัติความเป็นมา และความเชื่อ ศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม"
ประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม
ศาลจะปลูกเป็นหลังเล็ก ๆ เรียงกันตามลำดับใต้ต้นไม้ใหญ่ บริเวณทั่วไปจะปกคลุมไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่มีอายุยืนยาวนับร้อยปี
เป็นจำนวนมากและมีต้นไม้ขนาดเล็กปะปนบ้าง ในการเลือกทำเลตั้งศาลนั้น คาดว่าชาวบ้านบ่อกรุ ได้เลือกตามความเหมาะสมสอดคล้อง
ตามความเชื่อที่มีมาแต่สมัยก่อน และได้มีการอนุรักษ์ดูแลรักษา สอดส่องดูแลช่วยกันทั้งหมู่บ้านจึงทำให้สภาพที่ตั้งศาลมีสภาพที่ดีอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งโดยทั่วไปชาวบ้านมีความเชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษที่สิงสถิตอยู่ในบริเวณป่าดงไม้งามแห่งนี้ มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุขภายในศาลที่ปลูกเป็นเรือนหลังเล็ก ๆ ประกอบไปด้วย เครื่อง เซ่นบูชา เช่น พวงมาลัย ตุ๊กตารูปเสือ ม้า และดอกไม้ธูปเทียน ชาวบ้านถือว่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะช่วยคุ้มครองไปถึง ไร่ นา วัว ควาย และทรัพย์สินของคนในหมู่บ้าน คอยควบคุม ความประพฤติให้ชาวบ้านอยู่ในทำนองคลองธรรม ไม่ทำผิดประเพณีกระทบต่อความสุขของส่วนรวม และการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามในหมู่บ้านชาวบ้านมักจะบอกกล่าวต่อวิญญาณของบรรพบุรุษที่บริเวณศาลเจ้าพ่อดงไม้งามก่อนทุกครั้ง การที่ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปทำสิ่งไม่ดีภายในบริเวณศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม เช่น ไม่เข้าไปตัดต้นไม้ และล่าสัตว์ จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของชาวบ้านที่มีต่อศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม แห่งนี้ รวมถึงความร่วมมือความสามัคคีของชาวบ้านในการรักษาบริเวณป่าไม้แห่งนี้ไว้ได้อย่างสมบูรณ์เช่นเดิมและ ชาวบ่อกรุส่วนใหญ่ถือว่าการดูแลรักษาป่าไม้บริเวณศาลเจ้าพ่อดงไม้งามเป็นหน้าที่ของทุกคน
นายทำ กาฬภักดี ( กวนจ้ำ )บางคนเล่าให้ฟังว่าเคยสอบถามจากปู่ ย่า คนแก่สมัยก่อนว่า ชาวลาวซี – ลาวครั่ง ได้อพยพมาจาก
บ้านลำเหย อ.กำแพงแสนตอนที่อพยพมาได้อัญเชิญผ้าเหลือชิ้นเล็กๆของศาลที่นับถืออยู่ที่กำแพงแสนมาหนึ่งชิ้น และได้อัญเชิญมาโดยการใส่หีบมาอย่างดี และ มาตั้งไว้ที่ศาลเจ้าพ่อดงไม้งามในปัจจุบันเพื่อ สักการบูชา และปกปักรักษาตนเองและครอบครัว
สำหรับบุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่จะต้องคอยปฏิบัติในการประกอบพิธีกรรมคือ กวนจ้ำ สำหรับกวนจ้ำนั้น จะเป็นบุคคล
ที่ชาวบ้านเลือก โดยเลือกเอาบุคคลผู้ที่มีความรู้ทั้งด้านเกี่ยวกับพิธีกรรม มีคุณงามความดี เป็นบุคคลที่ชาวบ้านยอมรับว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ได้ เป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้านบ่อกรุ นอกจากนี้ยังเป็นผู้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นปู่อีกทอดหนึ่งด้วย (นายทำ กาฬภักดี 2548 : สัมภาษณ์ ) ความเชื่อดังกล่าวผู้วิจัยได้แยกศึกษาออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้
1.ความเชื่อเกี่ยวกับการบนบาน
2.ความเชื่อเกี่ยวกับการแก้บน
3.ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมการขึ้นศาลเจ้าพ่อดงไม้งามประจำปี
ความเชื่อเกี่ยวกับการบนบาน
นายทำ กาฬภักดี กวนจ้ำ ปัจจุบันอยู่บ้านหนองป่าแซง บ้านเลขที่ 27 ม.6 ต.บ่อกรุ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
เล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านบ่อกรุ มีความเชื่อกับการบนบานมากเมื่อมีเรื่องเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ ชาวบ้านจะไปบนบานให้วิญญาณของบรรพบุรุษที่ศาลเจ้าพ่อดงไม้งามช่วยเหลือ ลักษณะดังกล่าวนี้จะเหมือนกันกับชาวบ้านในถิ่นอื่น ๆ คือในกรณีที่สภาวะการณ์ที่ต้องเสี่ยงหรือต้องการความช่วยเหลือ ต้องการกำลังใจก็จะมีการบนบานไว้ถ้าเป็นไปตามที่ขอที่บนบานก็จะมาเลี้ยงเซ่นไหว้ โดยส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับของหายและเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพเจ็บป่วยหรือการเดินทางในที่ต่าง ๆ ที่ห่างไกลเช่น วัว ควาย รถยนต์ สิ่งของต่าง ๆ ที่ถูกขโมย หรือสูญหายชาวบ้านก็จะบนบานขอให้ได้ของคืนมา แม้แต่การเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ชาวบ้านก็จะยกมือบอกกล่าวขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ หรือเกี่ยวกับโรคภัย ต่าง ๆ การสอบเข้าเรียนต่อ การสอบเข้าทำงานได้ และการบนบานเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารเพื่อไม่ให้เป็นทหาร เป็นต้น ถ้าได้ตามความประสงค์แล้วก็จะนำสิ่งของที่ได้บนบานไว้มาแก้บน ( นายทำ กาฬภักดี 2548 : สัมภาษณ์ )
ในการบนบานผู้บนจะนำดอกไม้ ธูปเทียน โดยนำไปตรงหน้าศาลหรือบอกกล่าวด้วยวาจาซึ่งไม่จำเป็นต้องให้กวนจ้ำเป็นผู้นำก็ได้
เช่นกัน และถ้าเป็นไปตามต้องการจะถวายสิ่งของอะไรบ้าง เช่น เหล้า 2 ขวด ไก่ต้ม 2 ตัว พวงมาลัย เป็นต้น เหตุที่ชาวบ้านนิยมมาบนบานเพราะสะดวก ง่าย ทำได้ทุกโอกาส ทุกเวลา เมื่อได้สมกับที่บนบานไว้ก็จะมาแก้บนทันที จากการสังเกตพบว่า ผู้ที่มาบนบานแต่ละคนจะมาบนบานเนื่องจากว่าความทุกข์ ต้องการที่พึ่งทางใจแม้ว่าการบนบานจะไม่เห็นผลในทันที แต่ก็ได้รับความสบายใจ และมีความสุขความเชื่อในศาลเจ้าพ่อดงไม้งามแห่งนี้
ความเชื่อเกี่ยวกับการแก้บน
การแก้บน เป็นพิธีกรรมความเชื่อของชาวบ้านว่า เมื่อได้ทำการบนบานในเรื่องใดแล้ว หากกิจดังกล่าวสำเร็จตามความต้องการจะต้องไปแก้บนตามที่บนบานไว้ โดยการนำเครื่องเซ่นไหว้ตามที่ได้บอกกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นมาถวายแก้บน ต่อศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม ซึ่งในส่วนนี้จำเป็นต้องมีกวนจ้ำเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม ซึ่งจากการศึกษาพิธีกรรมการแก้บนของชาวบ้านบ่อกรุ นั้นพบว่า เมื่อชาวบ้านมีความทุกข์ใจและได้มาบนบานต่อวินญาณบรรพบุรุษที่ศาลเจ้าพ่อดงไม้งามความเชื่อเกี่ยวกับการแก้บนนี้ ชาวบ้านเชื่อว่า หากใครไปบนบานไว้แล้ว แม้ว่าผลของการ บนบานบางครั้งอาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม ยังคงถูกฝังลึกอยู่ภายในจิตสำนึกของชาวบ้านบ่อกรุ อยู่เสมอ จึงทำให้ชาวบ้านต่างเชื่อกันว่าหากไม่ไปแก้บนจะทำให้ครอบครัวหรือบุคคลนั้นได้รับความเดือดร้อนและมีอันเป็นไป หรือไม่ก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างอื่น เมื่อไปหาหมอดูหรือคนทรงเจ้าก็จะบอกว่าผู้นั้นยังไม่ได้แก้บน ต้องทำการแก้บนเสียก่อนจึงจะทำให้ผู้นั้นหายป่วย
การแก้บนเพื่อแสดงความขอบคุณหลังการบนบาน ผู้แก้บนจะต้องนำเครื่องเซ่นไหว้ตามที่ได้สัญญาไว้มาถวาย หลังจากที่วิญญาณบรรพบุรุษได้ให้ความคุ้มครองรักษาให้ได้รับความสำเร็จแล้ว พิธีแก้บนกระทำโดยการจัดเครื่องเซ่นไหว้ตามที่ได้ตกลงบนบานไว้ เช่นบอกกล่าวว่าจะแก้บนด้วย เหล้า 1 ขวด ไก่ต้น 1 ตัว หรือหัวหมู เป็นต้น และจะต้องเตรียมสิ่งของที่ใช้ประกอบกับการแก้บนอีกคือ ถาดใส่เสื้อผ้าขาวม้า ยกเว้นกางเกงห้ามนำมาโดยเด็ดขาด วางใส่ถาดจำนวน 4 ถาด พร้อมด้วยข้าวสุก หมาก พลู เปลือกไม้จัดเป็นคู่ ๆ วางใส่ถาดเสื้อผ้านั้น และนำสิ่งของเหล่านี้ไปวางต่อหน้าศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม และกวนจ้ำผู้ประกอบพิธี จะเริ่มทำพิธีกรรม
จุดธูปเทียน ดอกไม้ บูชา ต่อวิญญาณของบรรพบุรุษ ทีสิ่งสถิตอยู่บริเวณนั้น กวนจ้ำก็จะบอกกล่าวเป็นคำพูด คำพูดนั้น ก็จะเป็นภาษาพื้นเมือง คำพูดบอกกล่าวนี้จะพูดผิดหรือตกหล่นคำใดคำหนึ่งไม่ได้โดยเด็ดขาด และบอกวัตถุประสงค์ของการแก้บนว่าเนื่องจากเรื่องใด
ระยะเวลาในการแก้บน
สำหรับระยะเวลาในการแก้บนนั้นมีข้อห้ามข้อควรปฏิบัติคือ เวลาแก้บนต้องเป็นช่วงระยะเวลาเช้า จนกระทั่งถึง 5 โมงเช้า และวันจะต้องไม่ตรงกับวันพระและวันพุธ ถ้าหากตรงกันนั้นถือว่าใช้ไม่ได้ต้องหาวันใหม่ แต่ก็มีข้อยกเว้นไว้อีกเช่นกัน คือ หากนำสิ่งของเครื่องเซ่นเข้าไปในบริเวณสถานที่ศาลเจ้าพ่อดงไม้งามแล้ว ระหว่างนั้นกวนจ้ำไม่อยู่หรือติดธุระหลังจากหลังจาก 5 โมงเช้าแล้วก็สามารถทำพิธี แก้บนได้ แต่ถ้าหากนำสิ่งของเครื่องเซ่นออกมาถือว่าใช้ไม่ได้ การปฏิบัติเช่นนี้ถือว่ากวนจ้ำหรือชาวบ้านผู้มาแก้บนจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ (นายทำ กาฬภักดี : สัมภาษณ์)
ในการแก้บนแต่ละครั้ง เครื่องเซ่นไหว้ที่จะขาดไม่ได้ คือ ถาดใส่เสื้อ ผ้าขาวม้า ยกเว้น กางเกง จำนวน 4 ถาด หมากพลู
เปลือกไม้จัดทำเป็นคู่ 4 คู่ ธูปเทียนดอกไม้ และข้าวสุก ส่วน เครื่องเซ่นอย่างอื่นแล้วแต่ว่าแต่ละคนได้บนบานไว้ว่าจะเอาอะไรมาแก้บน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพทางฐานะของแต่ละคน เพราะว่าชาวบ้านเชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะพอใจก็ต่อเมื่อชาวบ้านได้มาแก้บนแล้ว แต่จะเน้นที่การปฏิบัติว่าได้สัญญากับศาลเจ้าพ่อดงไม้งามไว้ว่าอย่างไรบ้าง เพราะชาวบ้านมีความเห็นตรงกันว่า วิญญาณของบรรพบุรุษ มีความซื่อตรงรักษาสัญญาและปฏิบัติดีกับทุกคน ดังนั้นการแก้บนจึงเป็นความสบายใจของผู้ที่เคยบนบานไว้ว่าหากได้แก้บนแล้วตนเองจะพ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ จากนี้ ไปชีวิตจะประสบแต่ความเจริญรุ่งตลอดไป
ความเชื่อเกี่ยวกับการขึ้นศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม
ประเพณีการเลี้ยงปีหรือขึ้นศาลเจ้าพ่อดงไม้งามของชาวบ่อกรุ ถือว่าเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อวิญญาณของผู้มีพระคุณและญาติบรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะชาวบ้านเชื่อว่าบรรพบุรุษเป็นผู้มีพระคุณต่อลูกหลานรุ่นหลัง เพราะท่านได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้ และยังเป็นการแสดงออกถึงความสร้างความสัมพันธ์ของคนในชุมชนก่อให้เกิดความสามัคคีต่อส่วนรวมและเป็นการให้ความสำคัญแสดงออกถึงความเคารพนับถือต่อศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม ชาวบ้านบ่อกรุ จะกระทำขึ้นปีละ 1 ครั้ง คือ วันแรม 2 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปี แต่ถ้าหากปีใดตรงกับวันพระและวันพุธ ก็จะเลื่อนออกไปอีก 1 วันในการเลี้ยงแต่ละครั้งประชาชนก็จะร่วมกันบริจาคเงินเพื่อเป็นการซื้อหมู แต่เดิมนั้นจะใช้ตัวอ้นซึ่งเป็นป่าชนิดหนึ่งแต่เนื่องจากในปัจจุบันหายากและไม่มีจึงใช้หมูแทน และเหล้าอีกจำนวน 1 เท หรือ ประมาณ 12 ขวด เพื่อนำมาทำพิธีเลี้ยงปี นอกจากนี้แต่ละครอบครัวก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้ไปถวายต่อวิญญาณของบรรพบุรุษที่ศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม ที่ได้บนบานต่อศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม ไว้แล้วที่ยังไม่ได้ทำการแก้บนต่างก็จะนำมาแก้ในวันนี้ด้วย โดยชาวบ้านจะมารวมกันที่ศาลเจ้าพ่อดงไม้งามพร้อมกันตั้งแต่ตอนเช้ากระทั่งถึงเวลาบ่ายโมง ซึ่งจุดตรงนี้ได้แสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันสร้างความสามัคคีสมานสามัคคี ของคนในหมู่บ้าน
พิธีกรรมเกี่ยวกับการขึ้นศาลเจ้าพ่อดงไม้งาม
พิธีกรรมต่าง ๆบรรพบุรุษเป็นผู้ริเริ่มพิธีกรรมต่าง ๆ ขึ้นมาแล้วถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันมีลักษณะสำคัญ คือ เป็นเครื่องหมายของกลุ่มชนหนึ่ง ๆ ซึ่งมีสัญลักษณ์ร่วมกัน และเน้นในเรื่องของจิตอันเป็นจุดมุ่งหมายใหญ่ เพื่อทำให้เกิดความสบายใจ และกำลังใจ